สังขาร หลวงพ่อด่วน วัดบางนอน เผาไม่ไหม้แม้แต่จีวร หนึ่งในเหตุการณ์ที่จารึกไว้ในตำนานของแผ่นดิน
สังขาร หลวงพ่อด่วน วัดบางนอน เผาไม่ไหม้ แม้แต่จีวรและแว่นตาที่สวมใส่ หนึ่งในเหตุการณ์ที่จารึกไว้ในตำนานของแผ่นดิน
ย้อนไปเมื่อปลายปี พ.ศ 2550 ขณะที่หลวงพ่อด่วน ถามวโร อดีตเจ้าอาวาสวัดบางนอน อายุ 91 ปี ท่านเกิดอาพาธและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลระนอง ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนปีนั้นในช่วงเวลาประมาณ 20 วัน ที่นอนอาพาธอยู่ มีหลายครั้งที่ท่านเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น เอ่ยปากบอก “ เราจะสร้างหลวงปู่ทวด องค์ใหญ่นิ “
ผู้เฝ้าดูแลและลูกศิษย์ที่เข้าเยี่ยมหลวงพ่อคิดว่าท่านคงเพ้อตามประสาผู้มีอายุ เพราะท่านเคยตั้งใจไว้ว่าจะสร้างหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่มานานแล้ว จนกระทั่งถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2550 เวลาประมาณ 9 โมงเช้า หลังจากท่านฉันเช้าเสร็จ ท่านลุกขึ้นนั่ง พูดด้วยน้ำเสียง แน่วแน่จริงจังถึงการสร้างหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ย้ำๆซ้ำๆ อีก แล้วกล่าวต่อว่า “ กูไม่ค่อยไหวแล้ว พวกเอ็งต้องช่วยข้าสร้างหลวงปู่นะ ”
สักพักท่านก็นอน ลงแล้วก็พูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า “กูตายก็อย่าเผากูนะ กูร้อน ถ้าไม่เชื่อเอ็งจะได้เห็นกัน “ทุกคนที่มากราบเยี่ยมท่าน ก็ได้แต่นิ่งรับฟังกันและยังคิดว่าที่ท่านพูดเพราะท่านอายุมากอาจจะหลงลืมบ้าง
เพราะประโยคว่า “ถ้ากูตายอย่าเผากูนะ”ทุกคนเคยได้ยินท่านพูดก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาลแล้ว และคิดว่าท่านคง กระเซ้าเล่น จนกระทั่งเวลา16.50 น. วันนั้นท่านก็มรณภาพลงอย่างสงบ คณะศิษย์จึงนำร่างท่านกลับมาที่วัด เพื่อตั้งบำเพ็ญกุศล ที่วิหารพระนอน บนยอดเขาวัดบางนอน จังหวัดระนอง โดยจัดพิธีสวดพระอภิธรรม 22 คืน และมีกำหนดการพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2550 ซึ่งในวันนั้นมีฝนโปรยปรายเสมือนน้ำมนต์ประพรมตลอดทั้งวัน หลังจากเสร็จสิ้นตามกำหนดพิธีการ จนลุล่วงยามค่ำคืนที่จะทำการเผาร่างท่านบนเมรุลอยกลางแจ้งบริเวณลานบนยอดเขา ท่ามกลางศิษย์และผู้ศรัทธาที่มาร่วมงานหลายพันคน เมื่อถึงเวลาประมาณ 3 ทุ่ม สัปเหร่อเริ่มนำถ่านฟืนรองที่ร่างท่าน แล้วจึงราดน้ำมัน จนทั่วร่างท่านแล้วทับด้วยถ่านฟืนอีกครั้งหนึ่ง จึงทำการจุดไฟ จนแสงไฟลุกโชติช่วงขึ้นมาเป็นแสงสว่างวงใหญ่ ท่ามกลางความอาลัยของลูกศิษย์นับพัน
จนผ่านไปได้สักพัก จู่ๆ ไฟก็ดับวูบลงอย่างปริศนา สัปเหร่อจึงนำตัวเป่าลมมาช่วยในการติดไฟ และราดน้ำมันเพิ่ม จึงจุดไฟอีกครั้ง จนไฟลุกไหม้ขึ้นอีก คราวนี้สูงมากแสงของไฟสร้างความสว่างไปทั่วลานวัด เปลวไฟเกือบถึงยอดเมรุด้านบน จนเจ้าหน้าที่ต้องรื้อผ้าที่อยู่ด้านบนยอดเมรุออก
เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงัด มีเพียงเสียงของไฟที่กำลังเผาร่างท่าน โดยถ่านฟืนดังเปรี้ยะๆ แตกออกมาเป็นระยะๆ จากฤทธิ์ของความร้อนที่สุมร่างท่านไว้จู่ๆ ไฟก็ดับวูบลงอีกครั้งหนึ่ง แต่กลับมีแต่ควันขาวเหมือนหมอกมาแทนที่ของเปลวไฟ คราวนี้สัปเหร่อราดน้ำมันก๊าดเพิ่มและเพิ่มตัวเป่าลมเป็น 3 ตัว แล้วจึงจุดไฟอีกครั้ง ครั้งนี้ไฟติดลุกไหม้อย่างรุนแรงและไหม้นานจนเกือบชั่วโมง ดูเหมือนทุกอย่างเป็นปกติดี ท่ามกลางสายตาศิษย์นับพันคนที่ไม่ย้อท้อ รอส่งดวงวิญญาณของหลวงพ่อ แต่มีส่วนหนึ่ง ลึก ๆ แล้วเหมือนต้องการรอพิสูจน์อะไรบางอย่าง นั้นคือคำพูดของหลวงพ่อที่ไม่ให้เผา เพราะคำ ๆ นี้รู้กันทั่วเมือง แต่มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ จนช่วงเวลาที่สัปเหร่อเข้าไปเติมถ่านเพิ่มและใช้เหล็กยาวเกลี่ยถ่านฟืนเพื่อให้ทั่วร่างท่าน จู่ๆ ก็ได้ยินสัปเหร่อร้องเสียงดังลั่น “ผมยอมแล้ว เผามาเป็นร้อยเป็นพันไม่เคยเจอ ผมยอมแล้วหลวงพ่อ” พร้อมกับก้มลงกราบที่พื้น ทำให้ผู้คนจำนวนมาก ที่ยืนรายล้อมอยู่ข้างเมรุวิ่งฮือกันขึ้นไปบนเมรุ เพื่อดูด้วยสายตาตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้น จนทางวัดต้องประกาศห้ามขึ้น ผ่านเครื่องขยายเสียง เพราะกลัวเมรุถล่มลงมา
สิ่งที่ทุกคนเห็นตรงหน้าทำให้ต้องตกตะลึงกัน คือร่างหลวงพ่ออยู่คงเดิมสภาพเปียกชุ่มไปด้วยน้ำมันก๊าด ไฟไม่สามารถเผาร่างท่านได้ รวมถึงแว่นตาที่ท่านสวมใส่ มีเพียงเขม่าควันจับที่บริเวณจีวร ตามแขนและแว่นตาท่านเท่านั้น แต่ส่วนของโลงไม้ที่ใส่ร่างท่านรวมถึงถ่านฟืนไฟได้เผาผลาญกลายจนกลายเป็นเถ้ากองอยู่กับพื้น
ด้วยความทึ่งในบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ ผู้คนที่เบียดเสียดขึ้นไปรายล้อมร่างหลวงพ่อบนเมรุยกมือพนมเหนือหัวพร้อมกับเริ่มดึงจีวรและแย่งกันอุ้มร่างท่าน โดยจับไปที่ตะแกรงเหล็กรองร่างท่านเพื่อจะยก แต่ด้วยความร้อนของตะแกรงเหล็กที่ถูกไฟเผามานานเนื้อเหล็กยังแดงอยู่ด้วยฤทธิ์ของไฟหลายคนจึงนำน้ำมาราด เพื่อดับความร้อน ทำให้เถ้าถ่านฟุ้งกระจายไปทั่ว ท่ามกลางเสียงไชโย โห่ร้องของคนนับพัน และคละเคล้าไปด้วยเสียงสาธุดังสนั่นไปทั่วบริเวณวัด พร้อมกับคนนับพันวิ่งขึ้นยื้อแย่งจีวรหลวงพ่อจนทางวัดต้องนำร่างท่านใส่ โลงไม้ป้องกันการแย่งชิงจีวร ขณะที่นำร่างท่านมาที่วิหารพระนอน ระหว่างทางก็ยังมีผู้คนยื่นมือเพื่อสัมผัสกับโลงไม้หรือจับชายเสื้อผู้ที่ยกโลงหลวงพ่อพร้อมกับกล่าวสาธุ ๆ ตลอดทาง
เมื่อถึงวิหารแล้วจึงนำร่างท่านมาเช็ดตัวและเปลี่ยนจีวรให้ท่าน เนื่องจากชุ่มโชกไปด้วยน้ำมันก๊าดและเขม่าไฟที่ติด อยู่ทั่วร่าง เป็นความมหัศจรรย์เหนือปรากฎการณ์ธรรมชาติท่ามกลางสายตาของผู้ที่อยู่ร่วมงานหลายพันคนในคืนนั้น เชื่อว่าเป็นเพราะตบะบารมีของหลวงพ่อที่สั่งสมไว้ ทำให้ก่อเกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ประจักษ์แก่สายตา ผู้คนในค่ำคืนนั้น
ปัจจุบันทางวัดได้บรรจุร่างท่านไว้ในโลงแก้ว ตั้งอยู่ในวิหารของท่าน เพื่อให้สาธุชนได้กราบไหว้ขอพรบารมีจวบจนถึงปัจจุบัน
ABOUT THE AUTHOR
Hello We are OddThemes, Our name came from the fact that we are UNIQUE. We specialize in designing premium looking fully customizable highly responsive blogger templates. We at OddThemes do carry a philosophy that: Nothing Is Impossible
0 comments:
แสดงความคิดเห็น